ระหว่างวันที่ 13-17 เมษายน 2568 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา ได้ดำเนินโครงการบริการตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐานและการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต การให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแรงงาน และการเสริมสร้างกำลังใจและความเข้มแข็งให้ชุมชนชาวไทยในคาซัคสถาน และโครงการกงสุลสัญจร ปี 2568 ณ กรุงอัสตานาและเมืองอัลมาตี โดยได้รับการสนับสนุนจากสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กรมการแพทย์ โดยมีแพทย์หญิงวรางคณา รักษ์งาน นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ และแพทย์หญิงภัทราภรณ์ กินร นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ เข้าร่วมโครงการฯ

ในพิธีเปิดโครงการฯ นางปิยะพิณ นิยมฤกษ์ เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวถึงการให้ความสำคัญในการคุ้มครองดูแลและปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยในคาซัคสถาน ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของสถานเอกอัครราชทูตฯ พร้อมทั้งแสดงความพร้อมและความมุ่งมั่นของสถานเอกอัครราชทูตฯ ในการสนับสนุนและช่วยเหลือชุมชนไทยในคาซัคสถาน โดยขอให้ติดตามช่องทางประชาสัมพันธ์ของสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แก่ เฟซบุ๊ก เว็บไซต์ และสามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ผ่านหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินและกลุ่มไลน์ของคนไทยในคาซัคสถาน

ภายใต้โครงการฯ มีกิจกรรมหลัก ได้แก่ (1) การตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐานและการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต รวมทั้งการบรรยายเรื่องการดูแลสุขภาพกายและใจคนไทยในต่างแดน (2) การบรรยายเกี่ยวกับการคุ้มครองคนไทยต่างประเทศและกฎหมายพื้นฐานที่แรงงานไทยในต่างประเทศควรรู้โดย ดร. อรทัย ภูบุญลาภ กูนาซีลาน ที่ปรึกษา (3) การให้บริการทำหนังสือเดินทางแบบสัญจรและการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร์ให้แก่คนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองอัลมาตีและบริเวณใกล้เคียง และ (4) กิจกรรมวันสงกรานต์

การดำเนินโครงการฯ ที่กรุงอัสตานาและเมืองอัลมาตีตามนโยบาย “การทูตเพื่อประชาชน ทุกแห่งหนเราดูแล” ในครั้งนี้ได้รับการตอบรับที่ดียิ่งจากชุมชนไทย โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คน เนื่องจากเป็นโอกาสได้พบและปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิของตนในฐานะแรงงานต่างชาติในคาซัคสถาน รวมทั้งได้ปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการทำงานซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ รับจะหาทางแก้ไขและบรรเทาปัญหาในโอกาสแรก ตลอดจนได้รับบริการกงสุลสัญจร นอกจากนี้ โครงการฯ ยังเป็นพื้นที่ให้คนไทยในคาซัคสถานได้พบปะเพื่อสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานระหว่างกัน ทำให้คนไทยเกิดขวัญและกำลังใจ นำไปสู่ความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนไทยในคาซัคสถานในภาพรวม โดยผู้เข้าร่วมชื่นชมและขอให้สถานเอกอัครราชทูตฯ จัดโครงการลักษณะนี้เป็นประจำทุกปี